Push & Pull Marketing พื้นฐานการตลาดเพื่อสร้างยอดขายที่เราควรรู้ อยากขายดีต้องทั้ง ‘ผลัก’ ทั้ง ‘ดึง’
ในโลกมีกลยุทธ์การขายมากมายให้เราได้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ วันนี้ขอพามาทำความรู้จักกับกลยุทธ์สร้างยอดขายที่หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินหรือผ่านหูผ่านตากันมาบ้างอย่าง Push Marketing และ Pull Marketing ครับ ทั้งสองนั้นมีความแตกต่างกันยังไง ไปดูกันเลย
Push Marketing และ Pull Marketing คืออะไร?
เริ่มกันที่ Push Marketing ‘Push’ ก็แปลตรงตัวเลยครับ ก็คือการ ‘ผลัก’ การผลักออกไป ถ้าในการตลาดก็หมายถึงการผลักสินค้าออกไปหาลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย
ถ้าเอาให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกก็คือการเข้าไปขายของให้กับลูกค้าโดยตรงนั่นเอง ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ตรงไหนเราก็จะตามไปยั่วให้เขาซื้อถึงที่ โดยการตลาดแบบนี้มักนิยมใช้กับสินค้าที่มีกำไรต่อหน่วยสูง ซึ่งมีวิธีกระตุ้นความสนใจของลูกค้าทั้งหมด 3 รูปแบบหลัก ๆ ด้วยกัน ได้แก่
การขายตัวแทนจำหน่าย ก็คือให้พนักงานขายเข้าไปเสนอขายตามบริษัทห้างร้านต่างๆ ซึ่งคนกลางเหล่านี้ก็เหมือนเป็นตัวแทนของเราไปนำเสนอสินค้าให้กับลูกค้า
ผ่านพนักงานขาย ก็คือเป็นการให้พนังงานขายของเราเป็นคนกระตุ้นความต้องการของลูกค้าเอง ก็คือการเชียร์ขายนั่นแหละครับ โดยอาจให้รางวัลเป็นค่าคอมมิชชั่นอะไรก็ว่ากันไป
การออก Event ก็คือการเอาสินค้าของเราไปอยู่ในสถานที่ที่มีลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายของเราอยู่ ซึ่ง Event เราอาจจัดขึ้นเองหรือไปเข้าร่วมก็ได้ โดยเลือกงานให้มันสอดคล้องกับสินค้าเราเอง
Push Marketing สรุปก็คือ เน้นขายผ่านคนกลาง กระตุ้นกันเป็นทอด ๆ ผลักกันเป็นทอด ๆ ตั้งแต่แบรนด์ คนกลาง จนไปถึงผู้บริโภคในที่สุด
ส่วน Pull Marketing ก็ตรงกันข้ามกัน ก็คือการ ‘ดึง’ นั้นเอง ในแง่การตลาดนั้นจะหมายถึงการดึงให้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายหันมาสนใจสินค้าหรือบริการของเรา
แทนที่จะเข้าไปขายตรง ๆ การตลาดแบบนี้จะเน้นการสร้างโอกาสในการตัดสินใจมากกว่า โดยใช้พลังของคอนเทนต์ การส่งเสริมการขาย และการโฆษณาเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมาย
ง่าย ๆ ก็คือ แบรนด์โปรโมทสินค้าด้วยเครื่องมือต่าง ๆ ไปยังลูกค้าด้วยตัวเอง เพื่อเป็นการจูงใจให้เกิดความต้องการในสินค้า
แล้วเราควรใช้แบบไหน?
อันนี้มันไม่มีคำตอบที่ชัดเจน นั่นอยู่ที่ว่าแบรนด์ของคุณมีเป้าหมายแบบไหน บางแบรนด์อาจจะเลือกแบบ Push อย่างเดียวเพราะคนกลางมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้า
หรืออาจจะเลือกแบบ Pull เพราะสินค้ามีความแมสอยู่แล้ว แต่อยากให้ลูกค้ารู้จักมากกว่านี้ หรือบางแบรนด์อาจใช้ทั้ง 2 แบบไปพร้อม ๆ กัน ที่ทั้งขายผ่านคนกลางและโปรโมทด้วยตัวเองไปพร้อม ๆ กัน
“จะผลัก หรือ จะดึง ก็ย่อมมีความแตกต่าง”
ก่อนที่เราจะเลือกใช้กลยุทธ์ไหนนั้น ลองย้อนมาดูที่เป้าหมายของแบรนด์สำหรับสินค้านั้นก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ พิจารณาปัจจัยอื่น ทั้งเรื่องงบที่จะใช้ และรูปแบบของสินค้าว่าเป็นแบบไหน เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วการเลือกใช้กลยุทธ์ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
หวังว่าบทความที่นำมาฝากกันในวันนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการทุกท่านนะคะ ฝากติดตาม Torpenguin ในทุก ๆ ช่องทางด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ 😊
ติดตามข่าวสารธุรกิจร้านอาหาร
Facebook : Torpenguin
Instargram : torpenguin
TikTok : torpenguin
Youtube : Torpenguin
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจต่อ
- ทำไมต้องทำ Value Content ทั้ง ๆ ที่เราทำเพจเพื่อขายของ?
- เทรนด์ TikTok ครึ่งปี 2024 นี้ ธุรกิจคว้าโอกาสจากแพลตฟอร์มนี้ยังไงได้บ้าง?
- Lotto Marketing กลยุทธ์การตลาดจูงใจลูกค้านักเสี่ยงดวง
- Guerilla Marketing การตลาดกองโจร กลยุทธ์เรียกลูกค้าด้วยงบที่น้อย แต่จู่โจมอย่างต่อเนื่อง
- Butterbear กับการต่อยอดความสำเร็จจาก “Mascot Marketing”
- ปรับธุรกิจให้เข้ากับคนพื้นที่ ด้วยกลยุทธ์ Localization Strategy ที่ร้านเชนใหญ่มักใช้
- เพิ่มรายได้ด้วยการจัด Workshop เติมจุดว้าว เสริมภาพลักษณ์แบรนด์