FOMO กลยุทธ์เพิ่มยอดขายด้วยจิตวิทยาที่เล่นกับความกลัวของลูกค้า กับ 5 เทคนิคที่เอาไปปรับใช้ได้
วันนี้จะพามารู้จักกับกลยุทธ์การตลาดที่มีชื่อว่า Fear of Missing Out หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ FOMO นั้นเอง
Fear of Missing Out ความหมายตามตัวเลย เป็นอาการกลัวการตกเทรนด์หรือรู้สึกไม่อยากพลาดโอกาส ซึ่งเป็นกันมากในกลุ่มคน Gen Y และ Gen Z การทำความเข้าใจอาการนี้จะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับการทำการตลาดได้ดี
อีกประเด็นเลยคือการทำการตลาดแบบนี้มีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก เจ้าของร้านสามารถนำเทคนิคนี้มาปรับใช้กับการตลาดของร้านก็จะสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้น โดยวันนี้มี 5 เทคนิคในการทำการตลาดมาฝากกัน จะมีอะไรกันบ้างไปดูกันเลยค่ะ
1.กำหนดเวลา
การกำหนดเวลาให้ชัดเจนเป็นกลยุทธ์ที่พบได้บ่อย ทำให้ลูกค้าที่เห็นโฆษณารู้ว่าตัวเองมีเวลาจำกัดในการซื้อสิ้นค้าที่ลดราคาหรือได้รับสิทธิพิเศษ ทำให้ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อ เช่น การกำหนดเวลาซื้อ ถ้าหลังเวลาเที่ยงอาจจะไม่ได้รับส่วนลด
การกำหนดช่วงเวลาแบบนี้จะต้องตรงเวลาตามที่บอกกับลูกค้า ถ้ายืดเวลาออกไปจะทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนถูกหลอก
2.ทำให้รู้สึกพลาดโอกาส
การทำให้รู้สึกพลาดโอกาสเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าไม่พลาดที่จะซื้อครั้งต่อไป แต่จะต้องเปลี่ยนโปรโมชันของร้านให้ไม่เหมือนกัน เพราะจะทำให้ลูกค้าที่ซื้อครั้งแรกรู้สึกไม่น่าสนใจไม่คุ้มค่ากับการซื้อซักเท่าไร
3.ใช้คำกระตุ้นยอดขาย
การกระตุ้นยอดขายด้วยการใช้คำที่ช่วยกระตุ้นให้อยากซื้อ เช่น ของมีจำนวนจำกัด ลดสุดขีด ลดล้างสต๊อค ลดวันสุดท้าย คำเหล่านี้เป็นการสร้างความรู้สึกแบบ FOMO ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเวลากำลังจะหมดไปและกำลังจะอดได้ส่วนลดเลยต้องรีบซื้อ
4.การทำให้ลูกค้าบอกต่อ
การทำให้ลูกค้าบอกต่อหรือสร้างคอนเทนต์ด้วยตัวเอง ได้จากการสร้างสรรค์คอนเทนต์ด้วยไอเดียที่โดดเด่นดึงดูดความน่าสนใจ เหมือนกับการนำเอาสินค้านั้นมารีวิวประโยนช์ วิธีใช้และโพสต์ลงบนโซเชียล
5.ทำให้ลูกค้ารู้ว่าสินค้ากำลังจะหมด
การทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกกลัวว่าสินค้ากำลังจะหมด เป็นการกระตุ้นด้วยการนำเอาสต็อกสินค้าที่เหลืออยู่มาแสดงให้เห็นว่าเหลือน้อย เป็นเทคนิคทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อทันทีที่เห็น
การที่เราจะใช้กลยุทธ์นี้ให้ได้ผล หลัก ๆ เลยเราจำเป็นต้องกระตุ้นให้กลุ่มลูกค้าตัดสินใจไวขึ้น ด้วยการวางแผนโปรโมทให้ดี ซึ่งจะช่วยสร้างยอดขายได้มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากที่จะเพิ่มยอดขายได้ในเวลาอันสั้นแล้ว ยังเป็นการช่วยระบายสต๊อก หรือสินค้าที่ขายยากออกไปได้ เพราะราคาที่ถูกลงทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจ ทำให้กล้าที่จะลองมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามกลยุทธ์นี้ก็ไม่ควรใช้บ่อยหรือถี่จนเกินไป จากที่ลูกค้าตื่นเต้นกับการตั้งตารอ อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกเฉย ๆ แทน เพราะเขารู้ว่ายังไงก็ต้องมีอีกครั้งรอซื้อครั้งหน้าแล้วกัน ดังนั้นอย่าลืมทำความเข้าใจกลุ่มลูกค้าของตัวเอง ดูความเหมาะสมของสินค้าของเราประกอบกันด้วย
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการทุกท่านนะคะ ฝากติดตาม Torpenguin ในทุก ๆ ช่องทางด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ 😊
ติดตามข่าวสารธุรกิจร้านอาหาร
Facebook : Torpenguin
Instargram : torpenguin
TikTok : torpenguin
Youtube : Torpenguin
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจต่อ
- Advocate Strategy ยุทธวิธีเปลี่ยนคนรู้จัก เป็นคนรู้ใจ ทำให้ลูกค้าตกหลุมรักแบรนด์
- อยากขายดีต้องทั้ง ‘ผลัก’ ทั้ง ‘ดึง’ รู้จัก Push & Pull Marketing พื้นฐานการตลาดเพื่อสร้างยอดขายที่เราควรรู้
- วันฝนตกทำไมยอดขายตกขนาดนี้ ? สภาพอากาศรอบตัวส่งผลกับยอดขายกว่าที่คุณคิด
- ชนะใจลูกค้าสายขี้เกียจ ด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบ SLOTH Strategy
- ปรับธุรกิจให้เข้ากับคนพื้นที่ ด้วยกลยุทธ์ Localization Strategy ที่ร้านเชนใหญ่มักใช้
- Lonely Marketing การตลาดที่เน้นกลุ่มคนขี้เหงา ที่จะเป็นกำลังซื้อหลักในอนาคต
- อยากให้ลูกค้าเห็น ต้องหาแสงให้เป็นและทำตัวให้เด่นเข้าไว้ ด้วยหลักการ Isolation Effect