การตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะแพลตฟอร์มไหน ก็จะมีลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง อยู่ 3 ประการด้วยกัน ได้แก่
- มันเป็นตัวเลข “เสมอ“
- มันมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา
- กฎการเล่นขึ้นอยู่กับเจ้าของแพลตฟอร์มและคู่แข่ง
ดู ๆ แล้ว การตลาดออนไลน์ ที่ว่า เหมือนการเล่นหุ้นเลยใช่มั้ยครับ ถูกต้องครับเรากำลังใช้หลักการเดียวกันเอาหลักของการเล่นหุ้นปั่นมาใช้ครับ ได้แก่
– อย่าใส่ไข่ทุกใบในตะกร้าเดียวกัน
– ดูตัวเลขตลอดเวลา ให้ขยับพอร์ตทันทีที่ตัวเลขเปลี่ยน
– ทดลองของใหม่ ๆ ทุกครั้งที่มีอะไรออกมาใหม่
เมื่อเราได้หลักของการเล่นหุ้นปั่นมา จากนั้นเราก็แปลงออกมาเป็นกฎ 3 ข้อ ซึ่งเป็นข้อสรุปของการรอดชีวิตสำหรับ การตลาดออนไลน์ นั่นก็คือ
1. อย่าพึ่งทราฟิก (Trafic) จากช่องทางเดียว
คุณไม่ควรมีช่องทางใดที่มีทราฟิก (Trafic) เกิน 35% เพราะถ้าเกินกว่านี้คุณจะเสี่ยงยอดหายไปได้ง่าย ๆ ในพริบตา เมื่อเจ้าของแพลตฟอร์มดันเปลี่ยนกฎ อย่างเช่นที่เฟซบุ๊กทำอยู่ตอนนี้ เขามาลดนู้นลดนี่จนยอดแทบจะไม่เหลือซึ่งเป็นอันตรายต่อการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก
ยกตัวอย่าง คุณอยู่ในธุรกิจร้านอาหาร ก็ควรทำช่องทางทราฟิกให้ครอบคลุมเผื่อวันไหนที่เจ้าของแฟลตฟอร์มเปลี่ยนกฏไปมาร้านอาหารของคุณก็ยังไม่ขาดการติดต่อจากลูกค้า
2. ตรวจสอบผลตอบแทนการลงทุนทุกสัปดาห์
ทุกช่องทางที่ลงเงิน ไม่ว่าจะเว็บไซต์เพจ และแพลตฟอร์มอื่น เจ้าของกิจการจะต้องตวจสอบว่าแต่ละที่สามารถตอบกลับได้ว่าเป็นตัวเลขเท่าไหร่ ถ้าแปลงไม่ได้ให้แปลงค่าการรับรู้สื่อ (Awareness) ไปเทียบค่าโฆษณาแปลงกลับมาเป็นเงินแล้วเอามาเทียบผลตอบแทนการลงทุนในโปรแกรม Excel ครับ
ดูตัว Top 20% ของพอร์ตที่ดีที่สุดและ Worst 20% ที่แย่ที่สุด
ตัวดีให้อัดเงินเพิ่มเข้าไป ทำการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการตลาด ส่วนตัวแย่ต้องเช็ก Bad link และ Error แต่ถ้าหาแล้วไม่พบให้ตัดงบไปใส่ตัวอื่นแทนครับ
เป้าหมายของผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยในทุกช่องทางต้องเกิน600%
(จ่ายเงิน1บาทลงโฆษณาต้องได้เป็นยอดขายกลับมา 5 บาท เลขตัวนี้จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับกำไรของแต่ละธุรกิจ) ยกตัวอย่างธุรกิจร้านอาหาร ลงค่าโฆษณาทางเพจแล้วได้ยอดขายกลับมา 600% ส่วนทาง IG ลงโฆษณาไปแล้วได้ยอดขายน้อยกว่า เราก็ทำโปรในเพจแล้วอาจจะลดงบทาง IG เพื่อมาลงที่เพจแทน เป็นต้น
3. ลองช่องทางใหม่ตลอดเวลา
ผลตอบรักจากลูกค้าจะออกมาดีหรือไม่ดีนั้นให้เทียบกันด้วยผลตอบแทนการลงทุน ถ้าลงงบในช่องทางใหม่หรือแคมเปญใหญ่ ๆ ตัวเจ้าของกิจการเองต้องนั่งดูผลลัพธ์รายนาทีในครึ่งชั่วโมงแรกและดูรายชั่วโมงไปอีก 24 ชั่วโมง และดูรายวันไปอีก 7 วัน
เพราะในช่องทางใหม่ ๆ จะมาพร้อมเครื่องมือใหม่ ๆ ซึ่งคนทำงานมีโอกาส “ทำผิด” ได้เพราะไม่มีประสบการณ์มาก่อนนั่นเองครับ
ดังนั้นการนั่งดูผลลัพธ์จึงเป็นวิธีดีที่สุด คุณจะได้สังเกตเห็นว่าตั้งค่าอะไรผิดหรือลิงก์หลุดในช่องทางใหม่หรือเปล่า พอผ่านไปได้สัก 2-4 อาทิตย์ หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับคาแรกเตอร์ของช่องทางนั้น ๆ แล้วล่ะครับ เมื่อดูผลลัพธ์ในช่องทางใหม่แล้วจึงค่อยเอามาเทียบกับช่องทางเก่า
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจร้านอาหารคุณเปิดร้านอาหาร และต้องการเพิ่มยอดการขาย การทำโปรในช่องทางเดิมก็อาจไม่ได้ทำให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น คุณควรลองหาช่องทางใหม่ ๆ เพิ่มเติม และหากลองเทียบเคียงผลลัพธ์แล้วดีก็ทำต่อ ไม่ดีก็ลดงบประมาณลง เป็นต้นครับ
รับรองได้เลยว่า ถ้าคุณได้ทำตามสามข้อนี้ตลอด ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแบบไหน คุณก็ตามทันแน่น ด้วยเหตุผลง่ายๆ เพราะคุณเองต่างหากที่เปลี่ยนตัวเองได้เร็วกว่าและยึดหลัก “ความไม่แน่นอนนั้น คือความแน่นอนที่สุด” นั่นเอง
📌 ติดตามข่าวสารธุรกิจร้านอาหาร
👉🏻 อ่านต่อบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ไอเดียการตลาด ปี 2023 ที่ร้านอาหารขนาดเล็กไม่ควรพลาด
How to ปั้นร้านอาหารให้ดังบน TikTok ต้องทำอย่างไร
แชร์ 5 ไอเดีย สร้างไวรัลคอนเทนต์ แจ้งเกิดร้านบนโซเชียลฯ
ถอดบทเรียน พี่เขียวข้าวเหนียวห่อ ทำคอนเทนต์ยังไงให้ปังบน TikTok
มีครบมั้ย? 4 ปัจจัยหลักที่ทำให้คุณ สร้างยอดขาย แบบฉบับเร่งด่วนได้