ทำยังไงให้ลูกค้ากลับมา 10 ครั้งต่อเดือน เปิดเคล็ดลับปั้น CRM ของแบรนด์ The Coffee Club และ บ้านส้มตำ
สรุปเนื้อหาในงาน ลงแขก Talk 10 ที่ผ่านมา กับ หัวข้อ ‘เปลี่ยนลูกค้าขาจรเป็นลูกค้าประจำด้วย CRM’ ที่ได้ คุณพีพีรณัช ชูดวง – กรรมการบริหาร บริษัท บ้านส้มตำ กรุ๊ป จำกัด และ พี่จุ๊บ นงชนก สถานานนท์ – ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ทั้ง 2 ร้านพลิกวิธีกลับมาทำกำไรอีกครั้งได้อย่างไร และ ทำยังไงให้ลูกค้ากลับมา ได้บ่อยถึง 10 ครั้งต่อเดือน ไปดูกันเลยค่ะ
#TheCoffeeClub
แบรนด์กาแฟคือส่วนใหญ่จะมีความ Frequency สูง เลยต้องเก็บข้อมูลลูกค้าบ่อย ๆ ว่าชอบดื่มอะไร เวลาไหน และเก็บข้อมูลแบบรายบุคคล ลูกค้าบางคนมาดื่มบ่อย ก็ได้ข้อมูลรายละเอียด อย่างตอนแรกทาง The Coffee Club ไม่ได้มีทุนในการทำ CRM มาก ก็ใช้วิธีการหาข้อมูลจากที่มาใช้บริการและให้ฟี้ดแบ็กมาพัฒนาผลิตภัณฑ์
ตอนแรกลูกค้าส่วนใหญ่ที่มา The Coffee Club จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ก็คือมาแปปเดียวแล้วก็ไป ไม่ใช่ลูกค้าประจำ เลยทำให้ต้องเริ่มโฟกัสที่คนไทยเป็นหลักแทน
#แล้วทำยังไงให้คนเริ่มเปิดใจซื้ออาหาร ทั้งที่ The Coffee Club เป็นร้านกาแฟ
เริ่มต้นจากการเปลี่ยน Signature ก่อน โดยให้เด็กเสิร์ฟกาแฟตัวใหม่ให้ลูกค้า และถามว่าสนใจมั้ย จากนั้นแอดไลน์ หลังจากเข้าไปจะมีเมนูต่าง ๆ โชว์ให้เห็นว่ามีอาหารด้วย และแต่ละเมนูก็มีโค้ดต่าง ๆ ลดลงมาอีก ทำให้เห็นว่าราคาก็จับต้องได้
หลังจากนั้น ก่อนที่เราจะเริ่มต้นทำการตลาด ก็ต้องหาให้เจอว่าลูกค้าคือใคร ร้านเราตอบโจทย์เขาใช่มั้ย เพราะสำหรับบางคนอาจจะคิดว่าร้านเราไกลไป เดินทางไม่สะดวก แค่วันนี้แวะมาก็เลยซื้อ ก็จะอาจจะไม่ใช่ลูกค้าหลัก
#บ้านส้มตำ
ตอนแรกบ้านส้มตำก็เป็นร้านอาหารเนือย ๆ ปกติที่ถนนประมวญ สุดท้ายก็มีการปรับเปลี่ยน Transform ให้กลายเป็นบ้านและร้านอาหารที่มีดีไซน์ความทันสมัย โดยเริ่มจากการออกแบบในสไตล์โมเดิร์น และเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ เพราะเขามองว่า การทานอาหารเป็นเรื่องที่มากกว่าแค่อาหารอย่างเดียว (อาจจะหมายถึง มีเรื่องบรรยากาศ ความรู้สึก เข้ามาเกี่ยวข้อง)
ในส่วนของอาหารก็คือ มีคอนเซปต์ในการเอาอาหารอีสานมาปรับให้เป็นโมเดิร์นมากขึ้น ให้ความรู้สึกทันสมัย สามารถมากินได้ทุกวัน หรือถ้าลูกค้าอาจจะมากิน 2-3 วันต่ออาทิตย์เลยก็ยิ่งดี
#บ้านส้มตำเห็นความสำคัญเรื่องการดูแลลูกค้าประจำตอนไหน?
การดูแลลูกค้าบ้านส้มตำเริ่มจากเมื่อก่อนจะมีบัตรสมาชิกเป็นบัตรแข็ง ก็เลยตั้งคำถามขึ้นว่า บัตรแข็งช่วยอะไรได้บ้าง เพราะลูกค้าจ่ายมา 100 บาทได้บัตรแข็งไป แต่ทางร้านไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย และในช่วงนั้นทีมมาร์เกตติ้งก็ไม่มี Tools การตลาดก็เลยไม่รู้จะไปทางไหน อย่างดีก็ถ่ายรูปให้สวยสำหรับโปรโมต
โดยตอนนั้นทางร้านก็รู้ว่ามีลูกค้าประจำอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าลูกค้าประจำมีกี่คนและมาบ่อยแค่ไหน เลยต้องใช้การคำนวณไปก่อน จนกระทั่งมีนา – เมษาปี 2023 ถึงเริ่มใช้ระบบ CRM
พอหลังจากเริ่มใช้ ก็เปิดตัว e-member หรือสมาชิกออนไลน์ ปรากฎว่ากลายเป็น Success เลย เพราะเห็นได้จากฐานข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น มีลูกค้าติดตามมากขึ้นถึงหลักหมื่น พอยิ่งเพิ่มแคมเปญต่าง ๆ ผ่าน e-member ก็เพิ่มฐานลูกค้าขึ้นไปอีก
ผลจากการ CRM ก็จะทำให้เห็นข้อมูลมากขึ้น อย่างกลุ่มที่เป็นครอบครัว ก็จะเห็นได้ว่ากลุ่มนี้พร้อมใช้จ่ายเงินบริการมากกกว่า เมื่อเทียบกับลูกค้าใหม่ (ทำให้รู้ว่าควรปรับเมนูเซตครอบครัวเป็นแบบไหนบ้าง)
ส่วนใหญ่การทำ CRM ของบ้านส้มตำจะสนใจในเรื่องของค่า Frequency เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่า สิ่งที่เราปรับเปลี่ยนไป เสียอะไรไปเท่าไหร่บ้าง และได้กลับมาเท่าไหร่ เขาชอบแคมเปญไหนบ้าง มีการ Spending ในส่วนบ้าง พอรู้ว่าลูกค้าเทียร์สูงที่มาบ่อย ๆ เริ่มมาน้อยลง ก็ปรับแคมเปญให้ตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้าเหล่านั้นมากขึ้น
ซึ่งก็สอดคล้องกับ The Coffee Club เหมือนกัน ทั้ง 2 ร้านมีความสนใจในค่าของ Frequency เหมือนกัน ทำให้เห็นว่าสำหรับลูกค้าบางครั้งก็มี Frequency อยู่ที่ 4 ครั้งต่อเดือน ก็เลยเริ่มเปลี่ยนมาใช้วิธี Subscription ทำให้ลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 14 ครั้งต่อเดือน หรือบางคนที่บ้านอยู่ใกล้ก็มาเกือบทุกวันเลยก็มี
Subscription คืออะไรล่ะ?
Subscription เหมือนเป็นแคมเปญที่คิดขึ้นมาปรับให้ลูกค้าได้รับส่วนลด แต่ต้องมาร้านบ่อยขึ้น อารมณ์คล้ายๆ Netflix คือจ่ายเป็นรายเดือน แต่ได้ส่วนลดกาแฟในการซื้อแต่ละครั้งไป อย่างเช่นปกติลูกค้าซื้อกาแฟแก้วละ 100 บาท แต่มาแค่ 4 วันก็ได้แค่ 400 บาทเท่านั้น แต่พอใช้วิธี Subscription กลายเป็นว่าลูกค้าซื้อเป็นแบบ 1 เดือน ก็ลดเหลือแค่แก้วละ 59 บาท แต่กลายเป็นลูกค้าอยากมาซื้อทุกวันเพราะความคุ้มค่า คราวนี้ก็ได้กำไรเป็นหลักพันต่อคนนั่นเอง
“ให้สินค้าดีกว่าลด 10 เปอร์เซนต์” คือความเห็นที่ทั้งบ้านส้มตำและ The Coffee Club รู้สึกแบบเดียวกัน บางครั้งการให้ลดเปอร์เซนต์อาจจะไม่ตอบโจทย์เสมอไป เพราะบางครั้งลูกค้ามองว่าแค่ลด 10 % ก็ไม่กี่บาท ฟังดูไม่ค่อยคุ้ม แต่ถ้าเปลี่ยน 10 เปอร์เซนต์นั้นให้เป็นอาหารฟรี ลูกค้าจะรู้สึกคุ้มกว่าทันที
นอกจากนี้ The Coffee Club ยังใช้วิธีการแบ่ง Segment เช่น กลุ่มลูกค้าที่มา 30 วัน, 60 วัน และมาวิเคราะห์ว่าแต่ละกลุ่มควรจะ Offer อะไรไปบ้าง เพื่อเพิ่มความอยากให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำอีกรอบมากขึ้น
#ช่องทางไหนทำCRMได้ดีที่สุด
สำหรับช่องทางในการทำ CRM ทางบ้านส้มตำและ The Coffee Club มองว่าทาง LINE มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะเข้าถึงง่าย แต่ก็อาจจะมีเรื่อง Cyber Security ที่ทำให้ลูกค้าหลายคนระแวงเรื่องลิงก์ที่กลัวจะเป็น Scammer อันนี้อาจจะต้องหาวิธีปรับแก้กันไป
เรื่องของการนำข้อมูลมาปรับใช้ จริง ๆ หลายคนบอกว่าข้อมูลยิ่งเยอะยิ่งละเอียดก็คือดี แต่จริง ๆ แล้วควรเอาข้อมูลที่มีประโยชน์จริง ๆ ไปปรับใช้จะดีกว่า จนมีคำพูดว่า “ลูกค้า 200,000 คนแล้วไงถ้าเป็นลูกค้าที่ไม่ใช่สำหรับเรา”
อย่างเช่น The Coffee Club ที่มีลูกค้าชาวต่างชาติเยอะ พอเจอข้อมูลลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว ก็จะสกรีนออกจากกลุ่มลูกค้าประจำเลย แต่ก็ไม่ใช่ซะทั้งหมด เพราะต้องดูก่อนว่าสาขานั้นมีบริบทยังไงบ้าง อย่างสาขาภูเก็ต ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็อาจจะเก็บข้อมูลไว้บ้างบางส่วน ว่ามีใครที่ยังคง Active กับทางร้านบ้าง
ถ้านาน ๆ ไปไม่มี Active ก็อาจจะตัดออกได้เลย ในขณะที่ สาขาภายในเมืองจะเก็บเฉพาะลูกค้าที่มีความ Potential พอที่จะเป็นลูกค้าประจำ
#ไม่ใช่ทุกข้อมูลที่จะสำคัญ
สำหรับ The Coffee Club จะมองข้อมูลในเรื่อง Frequency เป็นหลัก ว่าลูกค้ามาบ่อยแค่ไหน ชอบทานกาแฟอะพไร รสชาติไหน ช่วงเวลาไหนและสนใจในเรื่องพฤติกรรมการทานซะมากกว่า โดยที่ไม่สนใจในเรื่องเพศ หรือ อายุ เพราะไม่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนแคมเปญ
ในขณะที่บ้านส้มตำสนใจในด้าน Frequency อายุ และกลุ่มลูกค้า ว่าแต่ละกลุ่มอายุชอบทานอะไร และจะให้บริการโดยการพูดแบบไหนที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าต่างอายุกันนั่นเอง
#แล้วเลือกบริษัทCRMยังไงดี
ต้องบอกก่อนว่าบริษัท CRM ในประเทศไทยคือมีเยอะมาก แต่ละเจ้าก็มีข้อดีต่างกันออกไป ดังนั้นเราต้องมองข้อดีของแต่ละเจ้า โดยเน้นว่า Service ของเขาตรงสิ่งที่ธุรกิจของเราต้องการรึเปล่า ฟังก์ชันของเขาตอบโจทย์ธุรกิจเราแค่ไหน
เวลาที่จะเลือกบริษัท CRM เราควรเรียกเจ้าหน้าที่เข้ามาคุยกับเรา เพราะเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า CRM นี้เหมาะกับเราจริง ๆ หรือเปล่า จนกระทั่งได้มีโอกาสคุยกัน ถึงจะรู้ว่าธุรกิจของเราโฟกัสในเรื่องอะไร Service ของเขาเหมาะสำหรับธุรกิจของเรารึเปล่า
แถมคำถามในงานลงแขก Talk 10 ที่น่าสนใจค่ะ
คำถาม : ประเด็น POS และ CRM ไม่เชื่อมกัน
คำตอบ : เป็นปัญหาที่ร้านต้องเจออยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่แก้ไขได้คือการเรียกทั้งสองฝั่งมาคุยกัน เจรจาหาทางตรงกลาง และถึงแม้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพื่อเชื่อม API ก็ยอมต้องทำ ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้เสียเวลาในส่วนของการ Develop ไปพอสมควร
คำถาม : ควรเริ่มใช้ CRM ตอนไหน ถ้าร้านอาหารยังไม่ใหญ่
คำตอบ : สำหรับร้านอาหารที่พึ่งเริ่มทำและมีสาขาเดียว อาจจะยังไม่ต้องใช้ CRM เพราะจะเสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่คุ้ม อาจจะใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยตัวเองผ่าน Excel หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ จนเมื่อเริ่มขยายสาขา และรู้สึกว่าเราไม่สามารถเก็บข้อมูลได้เพียงพอ หรือพฤติกรรมของลูกค้ามีการซื้อที่เปลี่ยนไป เช่น มาซื้อน้อยลง หรือซื้อมากขึ้น นั่นแปลว่าเป็นสัญญาณที่ส่งถึงเราว่าควรเริ่มเปลี่ยนมาทำ CRM ให้เป็นระบบมากขึ้น
หวังว่าเรื่องของระบบ CRM และการ ทำยังไงให้ลูกค้ากลับมา หาเราอีกครั้ง ที่นำมาฝากกันในวันนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการทุกท่านนะคะ ฝากติดตาม Torpenguin ในทุก ๆ ช่องทางด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ 😊
📣 แจ้งข่าวค่าาา ลงแขก Talk 11 รอบนี้ใครกำลังสนใจเรื่องระบบแฟรนไชส์ หรือกำลังอยากเทิร์นธุรกิจของตัวเองให้เป็นแฟรนไชส์ ไม่ควรพลาดเลย เพราะเราจะมาพูดคุยกันในหัวข้อ ’เปลี่ยนธุรกิจให้กลายเป็นแฟรนไชส์’ พบกับ คุณแพร – กวิสรา จันทร์สว่าง เจ้าของร้าน Fresh me และ อ.เซ็ธ เศรษฐพงศ์ ผดุงพิสุทธิ์ ที่ปรึกษาธุรกิจแฟรนไชส์ และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีโนซิส จำกัด
สามารถลงทะเบียนได้เลยที่ 👉 https://forms.gle/XSqMAhSRY9ViGnL66
🎉 และหลังจบงานสัมมนามาจอยกันต่อได้กับงาน ‘ลงแขกกินข้าวร้านเพื่อน’ งานรวมตัวผู้ประกอบการกิจกรรมพูดคุยสังสรรค์และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันในเหล่า Community ของผู้ประกอบการ (งานนี้ใครที่ไม่ได้มีธุรกิจก็สามารถมาเข้าร่วมได้นะ)
โดยงานนี้จะมีค่าเข้าร่วมงาน (รวมค่าอาหารและน้ำดื่มแล้ว) ** ค่าเข้างาน 600 บาท (รวมค่าอาหารและน้ำดื่ม)
** งาน “ลงแขก Talk” ขออนุญาตสงวนสิทธิ์ให้
- ผู้ประกอบการร้านอาหาร
- ผู้ที่สนใจประกอบธุรกิจร้านอาหาร
- ผู้ประกอบการแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่เป็น SME เข้าร่วมเท่านั้น
- หากชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ขออนุญาตสงวนสิทธิการคืนเงิน หรือเปลี่ยนแปลงทุกกรณี กรุณาตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วน ก่อนทำการชำระเงิน
*** เนื่องจากสถานที่จัดงาน “ลงแขก Talk” มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด จึงขออนุญาตตัดสิทธิ์ซัพพลายเออร์และผู้ให้บริการทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับร้านอาหาร ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ติดตามข่าวสารธุรกิจร้านอาหาร
Facebook : Torpenguin
Instargram : torpenguin
TikTok : torpenguin
Youtube : Torpenguin
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจต่อ
- สูตรลับโตพันล้านฉบับ After You 5 สิ่งที่ให้ After You กลายเป็นร้านขนมที่มีนามสกุลมหาชนอย่างทุกวันนี้
- Karun Thai Tea ปั้นแบรนด์ปัง ด้วยงบการตลาดเพียง 7%
- ทำ Real Time คอนเทนต์ ยังไงให้ได้ผล สรุป 15 บทเรียนที่เจ้าของธุรกิจควรรู้
- Eat Am Are ร้านสเต๊ก 15 สาขาที่รายได้แซงทุกเชนใหญ่
- Nose Tea จากแบรนด์สกินแคร์สู่จุดเริ่มต้นชาชีส ปั้นแบรนด์ยังไงให้ลูกค้าต่อแถวซื้อ
- ยามาซากิ ร้านขนมปังที่โฆษณาไม่ค่อยมี แต่ยังขายดีอยู่ตลอด 39 ปี
- Butterbear กับการต่อยอดความสำเร็จจาก “Mascot Marketing”
- ระบบที่ดี คือพื้นฐานธุรกิจที่ยั่งยืน 10 ข้อคิดที่ได้เรียนรู้จากพี่ธามม์ ประวัติตรี ผู้บริหารแบรนด์ระดับโลก
- Power of Detail ความสำเร็จ วัดกันที่รายละเอียด ถอดไอเดียจาก สุกี้ตี๋น้อย และ Karun