โอ้กะจู๋

“โอ้กะจู๋” กับเส้นทางจากแปลงผักเล็ก ๆ สู่ร้านสลัดพันล้าน

 

“จุดเริ่มต้นที่เข้มแข็ง ทำให้พวกเรามาจนถึงวันนี้”

คือคำที่คุณโจ้ – ผู้ก่อตั้งร้าน “โอ้กะจู๋ ปลูกผักเพราะรักแม่” กล่าวไว้ และมันก็อธิบายทุกอย่างได้เป็นอย่างดี

หากย้อนกลับไปเมื่อกว่าสิบปีก่อน “โอ้กะจู๋” ยังไม่ใช่ร้านอาหารที่ใคร ๆ รู้จัก พวกเขาเริ่มต้นเพียงจากความฝันเล็ก ๆ ของเพื่อนสองคนที่อยากปลูกผักขาย เริ่มจากแปลงผักเล็ก ๆ ที่เน้นการปลูกแบบอินทรีย์ ส่งให้ร้านอาหารในเชียงใหม่

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างคือ “ความตั้งใจจะขายสลัดที่เนื้อเป็นแค่เครื่องเคียง” – เพราะพวกเขาเชื่อว่า ถ้าผักสดพอ ดีพอ คนจะกินผักอย่างมีความสุขได้โดยไม่ต้องซ่อนมันไว้ใต้เบคอนหรือชีส

 

จุดเปลี่ยนจากแปลงผัก…สู่ร้านอาหาร

แนวคิด Farm to Table ไม่ได้เป็นแค่คอนเซ็ปต์เก๋ ๆ ในเมนู แต่มันคือหัวใจของร้านโอ้กะจู๋ตั้งแต่สาขาแรก พวกเขาสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้ารู้ว่าผักในจานนั้น “ปลูกที่ไหน ดูแลยังไง และโตมาแบบไหน”

ลูกค้านั่งกินข้าวอยู่ริมชานบ้านที่ยื่นเข้าไปในฟาร์ม มองเห็นสวนผักด้านหลังขณะเคี้ยวสลัดทุกคำ มันเป็นประสบการณ์ที่ “ไม่ต้องเล่าเยอะ” แต่สัมผัสได้ด้วยตาและลิ้น

สิ่งที่โอ้กะจู๋ทำแตกต่างตั้งแต่วันแรก

1. ประสบการณ์ที่จับต้องได้ : ลูกค้าได้เห็นการปลูกผักจริง ๆ ไม่ใช่แค่ภาพบนเมนู

2. คุณภาพที่พิสูจน์ได้: ผักที่เสิร์ฟจะต้องมาจากแปลงในระยะเวลาไม่เกิน 28 ชั่วโมง แม้แต่ในกรุงเทพฯ

 

โตได้เพราะมี “ระบบ” ไม่ใช่แค่ Passion

จากร้านเล็ก ๆ สู่แบรนด์ที่มี 33 สาขาทั่วประเทศ โอ้กะจู๋ไม่ได้โตด้วยโชค แต่โตเพราะ “วางรากฐาน” มาดีตั้งแต่ต้น

 

“ถ้าสาขาแรกยังไม่มีระบบที่ชัด ต่อให้เปิดสาขาใหม่มากแค่ไหน สุดท้ายก็จะพังกลับมาทับตัวเองอยู่ดี”

 

ระบบที่แบรนด์นี้สร้างไว้มีอะไรบ้าง?

  • ทำให้ทุกจานมีมาตรฐาน : ไม่มีอีกแล้วที่เชฟจะปรับตามใจ ทุกเมนูต้องชั่ง ตวง วัด เป๊ะ เพื่อให้รสชาติและปริมาณคงที่ทุกจาน ทุกสาขา
  • คู่มือและการเทรนพนักงานแบบเดียวกัน : ไม่ว่าคุณจะเจอพนักงานสาขาไหน ก็จะได้รับบริการแบบเดียวกัน คือ “ความอบอุ่นแบบครอบครัว”
  • ระบบซัพพลายเชนที่ยั่งยืน : วัตถุดิบต้องมาถึงร้านในเวลาที่กำหนด การจัดกะพนักงานและการลงทุนในครัวกลาง ล้วนถูกออกแบบไว้ล่วงหน้าเพื่อรองรับการขยาย
  • แบรนด์ดิ้งที่ฝังในทุกกระบวนการ : ไม่ใช่แค่โลโก้หรือเมนู แต่ตั้งแต่ต้นทางอย่างสวนผัก ไปจนถึงปลายทางที่ลูกค้าได้รับ ล้วนสื่อสารสิ่งเดียวกันคือ “ของดีที่ปลูกด้วยใจ”

 

พาร์ตเนอร์ที่เข้ามาเสริม คือโอกาส

เมื่อแบรนด์เริ่มเติบโต จน OR (บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด) เข้ามาร่วมถือหุ้นใหญ่ โอ้กะจู๋ก็เริ่มมีเครื่องมือที่มากกว่าแค่ Passion

จากการทำธุรกิจวันต่อวัน พวกเขาได้เรียนรู้การ “วางแผนระยะยาว” มีพาร์ตเนอร์ที่ช่วยมองภาพใหญ่ และช่วยให้กล้าลองผิดลองถูกได้มากขึ้น พร้อมคำแนะนำที่นำไปสู่การเติบโตที่มีเป้าหมาย

ที่สำคัญคือ โอ้กะจู๋ยังไม่ลืมชุมชนที่เติบโตมาด้วยกัน โดยเริ่มให้โอกาสเกษตรกรอินทรีย์รายย่อยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในระบบซัพพลายของแบรนด์ เพื่อเติบโตไปด้วยกัน

 

ต่อยอดจากของขายดี สู่ธุรกิจใหม่

เมื่อเมนูสมูทตี้กลายเป็นหนึ่งในสินค้ายอดนิยมของร้าน พวกเขาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ จึงต่อยอดออกมาเป็นแบรนด์ใหม่ในชื่อ “Oh Juice” ที่เน้นขายสมูทตี้จากผักและผลไม้ของทางร้าน พร้อมขยายเป็น Grab & Go เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

 

“Passion อาจจะกินไม่ได้ แต่เป็นพลังขับเคลื่อนให้เราเดินต่อ อย่าติดกับดักคำว่า ‘สำเร็จ’ เพราะคำนี้ไม่มีจุดจบ เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา แล้วเอาความรู้มาสร้างระบบ เพราะ Passion อย่างเดียวไม่พาเรารอด แต่ระบบที่ดี จะพาเราไปไกล”

 

หวังว่าเรื่องราวของ โอ้กะจู๋ ที่นำมาฝากกันในวันนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการและคนที่อยากเปิดร้านอาหารทุกท่านนะคะ ฝากติดตาม Torpenguin ในทุก ๆ ช่องทางด้วยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ 😊

 

???? ติดตามข่าวสารธุรกิจร้านอาหาร
Facebook : Torpenguin
Instargram : torpenguin
TikTok : torpenguin
Youtube : Torpenguin

 

???? อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจต่อ